Microservices คืออะไร และดีกว่า Monolithic อย่างไร? (เจาะลึก)
บทนำ
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน เทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาแอปพลิเคชันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว Microservices ได้กลายเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องการความยืดหยุ่น ขยายตัวได้ง่าย และรองรับปริมาณผู้ใช้งานสูง
ในบทความนี้เราจะอธิบายแนวคิดของ Microservices เปรียบเทียบกับ Monolithic Architecture พร้อมทั้งแนะนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เครื่องมือที่จำเป็น และการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเว็บไซต์ของคุณ
ทำความเข้าใจ Microservices และ Monolithic
สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่ทุกส่วนของระบบรวมกันอยู่ในแอปพลิเคชันเดียว เช่น การจัดการผู้ใช้ ระบบชำระเงิน และคลังสินค้าอยู่ภายใต้โค้ดเบสเดียวกัน
ข้อเสียเมื่อระบบขยายตัว:
- การอัปเดตต้อง Deploy ใหม่ทั้งแอปพลิเคชัน
- ความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเมื่อโค้ดมีขนาดใหญ่
- ยากต่อการขยายระบบในบางส่วน
- หากเกิดข้อผิดพลาดในส่วนหนึ่ง อาจทำให้ทั้งระบบล่ม
แนวทางที่แบ่งแอปพลิเคชันออกเป็น Service ย่อยที่สามารถพัฒนาและจัดการได้อย่างอิสระ แต่ละ Service มีฐานข้อมูลและการประมวลผลของตัวเอง
คุณสมบัติพิเศษ:
- ทำงานแยกจากกันได้โดยไม่มีการพึ่งพาซึ่งกันและกันมากเกินไป
- สามารถใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันได้
- ขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น
- รองรับการพัฒนาแบบ DevOps
- Monolithic = ร้านอาหารที่พนักงานทุกคนต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ปรุงอาหาร เสิร์ฟ และคิดเงินในร้านเดียวกัน
- Microservices = ร้านอาหารที่แบ่งเป็นแผนก เชฟดูแลการปรุงอาหาร พนักงานเสิร์ฟรับออร์เดอร์ และแคชเชียร์ดูแลเรื่องการชำระเงิน
ข้อดีของ Microservices
สามารถอัปเดตหรือปรับปรุงบางส่วนของระบบได้โดยไม่ต้องส่งผลกระทบต่อทั้งแอปพลิเคชัน
สามารถเพิ่มทรัพยากรให้กับบาง Service ที่ต้องการโดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากรให้ทั้งระบบ
แต่ละ Service สามารถใช้ภาษาและเครื่องมือที่เหมาะสมได้
ทำให้การพัฒนา การทดสอบ และการ Deploy โค้ดเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
หาก Service ใดล่ม ระบบอื่นยังสามารถทำงานได้ตามปกติ
หลักการออกแบบ Microservices
การออกแบบ Microservices ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพและสามารถขยายตัวได้ง่าย:
- แยก Service ตาม Domain ของธุรกิจ เช่น ระบบชำระเงิน ระบบสินค้าคงคลัง และระบบการสั่งซื้อ
- ออกแบบให้แต่ละ Service อิสระจากกัน (Independence) เพื่อลดความซับซ้อนและความเสี่ยงต่อการพึ่งพา
- ใช้ API Gateway เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อและจัดการการเข้าถึงของ Service ต่างๆ
- ใช้ Database แยกกัน เพื่อลดปัญหาคอขวดจากการแชร์ฐานข้อมูลเดียวกัน
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ใน Microservices
การใช้ Microservices ต้องอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านล่างเป็นตัวอย่างเครื่องมือที่สำคัญพร้อมข้อดี-ข้อเสีย:
API Gateway
ข้อดี
ช่วยบริหารจัดการ API รวมศูนย์ และเพิ่มความปลอดภัย
ข้อเสีย
ต้องใช้ทรัพยากรสูง และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
เหมาะกับ: ระบบที่ต้องการควบคุม API หลายตัว
ระบบจัดการคิว (Message Queue)
ข้อดี
รองรับการสื่อสารแบบ Asynchronous และช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย
มีความซับซ้อนในการติดตั้งและดูแลรักษา
เหมาะกับ: ระบบที่ต้องการรองรับปริมาณคำขอสูง เช่น ระบบการแจ้งเตือน หรือการทำธุรกรรมออนไลน์
ระบบ Log และ Monitoring
ข้อดี
วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลได้แบบ Real-time
ข้อเสีย
ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากและมีความซับซ้อนในการตั้งค่า
เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการติดตามประสิทธิภาพของระบบและตรวจสอบความผิดพลาด
Container & Orchestration
ข้อดี
จัดการ Service ได้ง่ายและช่วยให้การ Deploy เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ข้อเสีย
ต้องใช้ทรัพยากรสูงและต้องมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ
เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น
ระบบ Caching
ข้อดี
ช่วยให้การโหลดข้อมูลเร็วขึ้น ลดภาระของฐานข้อมูล
ข้อเสีย
หากออกแบบไม่ดี อาจเกิดปัญหาข้อมูลไม่ตรงกัน (Cache Invalidation)
เหมาะกับ: เว็บไซต์ที่มีการดึงข้อมูลซ้ำ ๆ เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
ตารางเปรียบเทียบ Monolithic vs Microservices
หัวข้อ | Monolithic | Microservices |
---|---|---|
โครงสร้าง | ทุกอย่างรวมกัน | แบ่งเป็นส่วนย่อย |
ความยืดหยุ่น | เปลี่ยนแปลงยาก | อัปเดตง่าย |
การขยายระบบ | ต้องเพิ่มทรัพยากรทั้งระบบ | ขยายเฉพาะส่วนที่ต้องการ |
ความเสถียร | มีโอกาสล่มทั้งระบบ | ระบบอื่นยังทำงานได้ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งล่ม |
สรุป
Microservices เป็นแนวทางที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นและขยายตัวในอนาคต อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้ต้องมีการวางแผนและเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสม